ไม่ได้อยู่กับสังคมออนไลน์เสียนาน กลับมาครั้งนี้ก็ยิ่งตกใจหนักเข้าไปอีก เมื่อเห็นสภาพของการสื่อสารในสังคมออนไลน์ เพราะต่างต้องการแสดงออกตามความรู้สึกนึกคิดของตนเองเสียจนความเป็นอยู่ของสังคมเริ่มวิกฤติ ต่างคนต่างมีวิถีคิด ต่างคนต่างมีจิตวิญญาน และที่เลวร้ายคือ แต่ละคนสามารถแสดงความเห็นอย่างอิสระ และไร้ความรับผิดชอบ...
ตอนนี้ปัญหาใหม่ที่อยู่คู่กับโลกไซเบอร์คือ ข่าวลวง ข่าวปลอม ข่าวโจมตีมุ่งร้าย... สาระพัดที่จะมี
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การส่งสารออกไป เพราะคนส่งมีแนวคิดจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจนว่าจะส่งสารเพื่ออะไร แต่ปัญหากลับอยู่ที่ผู้รับสารที่ไม่สามารถแยกแยะ วิเคราะห์ข่าวสารนั้น ๆ ทำให้เกิดความหลงเชื่อในข่าวสาร และที่สำคัญการรับสารและส่งสารสามารถทำได้ในเวลาไล่เลี่ยกันเสียจนผู้รับที่กลายเป็นผู้ส่งไม่สามารถไล่เรียง วิเคราะห์แยกแยะ
เมื่อวงจรการรับและการส่งมันรวดเร็วเสียอย่างนั้น ความความผิดพลาดย่อมตามมา และยากที่จะแก้ไขในเวลาอันรวดเร็ว... การส่งออกง่ายกว่าเร็วกว่า แต่การแก้ไขยากกว่าหลายเท่านัก...
เมื่อการรับสารขาดศักยภาพทำให้เกิดการกระตุ้นความคิดตามจุดมุ่งหมายของผู้สื่อ และทำให้เกิดข้อวิพากย์ ขัดแย้งและลุกลามไปเป็นวงกว้าง เพราะทุกคนต่างมีความคิด มีตัวตน และการสื่อออกมักจะผสมความคิดเห็นตามความรู้สึกของตนอีก
ความขัดแย้งที่รุนแรงในประเทศไทยขณะนี้คือ ความแตกแยกทางการเมือง อันที่จริงแล้วความแตกแยกทางความคิดและการเมืองเป็นเรื่องปกติของหลาย ๆ สังคม หลายชุมชน แต่ที่ผิดปกติของสังคมไทย คือ ความแตกแยกทางการเมืองเชิงทำลาย...
หมายถึงความพยายามที่จะทำลายฝ่ายตรงข้ามเพื่อไม่ให้ขัดขวางหรืออยู่ร่วมกันได้ มีการตามล้างตามเช็ดกันแบบไม่ให้โอกาส ไม่ว่าฝ่ายไหนก็เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว...
ความพยายามสร้างความปรองดองถึงกลับเป็นแผนหรือวาระแห่งชาติตามที่หลายฝ่ายเสนอ แต่เชื่อหรือไม่ว่ามันก็เป็นเพียงแผนหรือแนวคิดตามความรู้สึกของตนหากคนอื่นไม่เห็นด้วยก็ถือว่าเป็นปฏิปักษ์ พาลจะไม่ให้ความร่วมมือ หรือดื้อดึงในความคิดตนเอง หรือไม่ก็ปฏิเสธความคิดคนอื่นโดยไม่พิเคราะห์เสียก่อน
ความพยายามเหล่านี้มักไร้ผลหากเราไม่เข้าใจว่าสังคมไทยมีความเป็นมาอย่างไร... ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังไม่แตกต่างกันมากนัก การทำลายล้างทางการเมืองมีแต่ในสมัยโบร่ำโบราณ ก็ยังมีเหมือนเดิม เป็นหนังม้วนเดิมแต่เปลี่ยนเวลาฉายและเปลี่ยนฉากเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนตัวแสดงก็เท่านั้น...
ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนความคิดเสียแล้ว ก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้...
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554
น้ำคลองที่ถน นวิภาดี ซ.13
น้ำดำสนิท เริ่มส่งกลิ่นเหม็น ช่วงนี้น่าจะเป็นโอกาสดีที่จะใช้น้ำเหนือผลักดันน้ำเสียออกไปได้หากวางแผนไว้อย่างรัดกุม เว้นเสียแต่ไม่ทำแล้วอ้างเหตุผลสาระพัด เข้าทำนองมือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำ... เบื่อจริงพวกนี้...
Sent from my Nokia phone
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554
เตรียมไว้ก่อน
ช่วงนี้ได้บอกเตือนหลายคนให้ระมัดระวังการเก็บของแต่ก็ได้รับคำตอบมาทำนองว่า มันจะท่วมจริงหรือ... มันคงมาไม่ถึงหรอก ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นน้ำมาหน้าบ้านเลย แต่คราวนี้ต้องบอกตามประสบการณ์ที่เคยเจอ และเป็นคือที่จังหวัดน่านเคยเกิดภาวะแบบนี้คือหลายคนบอกว่าอย่าตื่นตูม น้ำท่วมอยากมากก็ริมฟุตบาท แต่ในที่สุดก็ท่วมทั้งเมือง แล้วก็มาบ่นกันว่าเกิดมาไม่เคยเห็น พึ่งเห็นครั้งแรก และด่าการแจ้งเตือนของภาครัฐอีกว่าไม่มีการแจ้งให้ข้อมูลอย่างชัดเจน...
ถึงวินาทีนี้ต้องเรียนตามตรงว่าหากรู้ว่าอะไรจะเกิดก็บอกกันไปแล้วครับ โดยเฉพาะพวกอยากได้หน้าเพิ่มมีหรือจะเก็บไว้คนเดียว... (ยกเว้นรู้ว่าค่าเงินบาทจะขึ้นหรือลงอันนี้เก็บเงียบแล้วตุนหรือเทขายเพื่อตนเองได้ประโยชน์)
ดังนั้นสถานการณ์เช่นนี้เราภาคครัวเรือนต้องมีสติ อะไรที่สุ่มเสี่ยงก็เตรียมป้องกันสักหน่อยครับ ตอนนี้ผมใช้วิธีแบบที่เห็นในรูปโดยเอาถุงขยะห่อหุ้มแล้วใช้สายรัดรัดให้แน่นโดยพับปากถุงครั้งหนึ่งก่อนเพื่อให้โค้งงอป้องกันน้ำซึมทีละนิด และใช้ถุงแบบหนา (ตัวอย่างทดลองดูถุงบางเกินไปต้องเพิ่มอีก) ทีนี้ก็ถึงคราวน้ำท่วมก็ไม่ใช่ปัญหาไม่ว่าขนย้ายทันหรือไม่ทัน อย่างน้อยก็อยู่ได้หลายวันครับ...
ตอนนี้ต้องเตรียมระวัง และมีสติ หาทางออกและคิดเสมอว่าเหตุการณ์บางอย่างอาจจะเกิดขึ้นได้แล้วหากเกิดขึ้นเราจะทำอย่างไร คราวนี้เตรียมไว้แล้วน้ำไม่ท่วมจริง (บางพื้นที่) ก็ถือว่าซ้อมใหญ่นะครับ จะได้ไม่เครียดและคิดว่าเสียเวลา...
ภาพน้ำในคลองติดถนนวิภาวดี 13
น้ำในคลองนิ่ง สีคล้ำดำเกือบสนิท เริ่มส่งกลิ่นเหม็นแล้ว ช่วงนี้หากมีการบริหารจัดการน้ำเป็นอย่างดีและร่วมมือร่วมแรงกันหลายฝ่ายแล้วหากคิดจะนำเอาน้ำเหนือที่เอ่อล้นรอวันพังทลายแนวกั้นนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ โดยนำมาผลักดันน้ำเสียที่มีอยู่ในลำคลองให้ระบายออกไป โดยมีการควบคุมและดูแลช่วยกันจากหลาย ๆ ฝ่ายทั้งภาครัฐ เอกชน และครัวเรือน เพื่อเป็นการระบายน้ำไปในตัวพร้อมกับล้างคูคลองด้วยก็เป็นการดี
ไหน ๆ ก็รอวันให้น้ำท่วมอยู่แล้ว เครียดกันแทบบ้าก็เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสกันเถอะมาร่วมกันลอกท่อล้างคลองกัน ไม่แน่นะเราอาจจะไม่ต้องเสียงบประมาณในการป้องกันน้ำมากเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ได้
ไหน ๆ ก็รอวันให้น้ำท่วมอยู่แล้ว เครียดกันแทบบ้าก็เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสกันเถอะมาร่วมกันลอกท่อล้างคลองกัน ไม่แน่นะเราอาจจะไม่ต้องเสียงบประมาณในการป้องกันน้ำมากเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ได้
วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ฤาว่า...สังคมเรากำลังอยู่ในภาวะวิกฤติทางการสื่อสาร
ช่วงนี้ได้เข้ามาใช้ facebook อีกครั้งหนึ่งเพราะมีปัญหาเรื่องการสื่อสารฝ่ายเดียว และเป็นการสื่อสารที่มุ่งร้ายจนเกิดความเสียหายในกลุ่มที่ทำงาน จนเกิดความแตกแยกเป็นพรรคพวก (มีทุกขนาด, 1 คน 1 พวกก็มี)
และเมื่อพิจารณาแล้วก็เห็นสมควรเพราะหากปล่อยไว้จะกลายเป็นยอมรับเหมือนกับที่เราเสียเขาพระวิหารไปเมื่อ 50 ปีก่อน เพราะการพิจารณาในครั้งถือว่า ไทย ยอมรับอาณาเขตของฝรั่งเศสที่มีอำนาจเหนือเขาพระวิหารเพราะฝรั่งเศสชักธงขึ้น แล้วมีพระรูป (รูปถ่าย) ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงประทับบนเขาพระวิหารด้วย
การไม่ทักท้วงถือว่ายอมรับความจริง เป็นกฎเกณฑ์ไปเสียแล้วในสำหรับสังคมปัจจุบัน จริง ๆ แล้วก็แลดูเหมือนเห็นแก่ตัวอย่างมาก และจะขัดกับกฎเกณฑ์ของสังคมไทยในอดีตด้วยซ้ำไป
ดังนั้นจึงมาเขียน สื่อสารกันบนสังคมออนไลน์กันอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าบางกลุ่มบนสังคมออนไลน์ก็ไม่ได้แตกต่างจากสังคมเสื่อมโทรมและถือว่าเป็นสลัมออนไลน์เหมือนเดิมครับ แต่สำหรับกลุ่มดี ๆ ก็ยังมีอยู่ไม่ขาดหาย ไม่ว่าสังคมจริง สังคมออนไลน์ก็ไม่ต่างกันแล้วแต่ว่าเราจะเลือกอยู่ในกลุ่มไหน แต่ไม่น่าเชื่อว่า... หลายคนเลือกกลุ่มที่ไม่ค่อยประเทืองปัญญามีแต่สังคมก่นด่า และส่งข้อมูลโดยไม่กลั่นกรอง ใช้ความเป็นสื่อออนไลน์โจมตีให้ร้ายป้ายสีผู้อื่น และทำอะไรตามใจชอบโดยไม่สนใจผลกระทบ
ปัจจุบันปัญหาผลกระทบจากสื่อชนิดนี้คือ ความไม่น่าเชื่อถือของสารที่ได้รับ เพราะมันเป็นข้อเท็จจริง เป็นข้อมูลดิบ (Raw data) มันยังไม่เป็นสาระสนเทศ (Information)
การบริโภคข่าวสารที่ไม่ได้รับการกลั่นกรองกลับทำให้เกิดความเสียหาย ความล่าช้า และความสนุกสนานของกลุ่มคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ เป็นต้นว่า การแตกตื่น โกลาหล การโจมตี กล่าวหามุ่งร้ายผู้อื่น การปล่อยข่าวโคมลอย เป็นต้น
โดนเฉพาะปัจจุบันยุคออนไลน์การส่งข้อมูลทำได้ง่ายแค่มือถือราคาหนึ่งพันบาทก็สามารถเข้าสู่โลกออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย และการส่งข้อมูลออกง่ายแสนง่ายกดปุ่มไม่กีปุ่มก็เรียบร้อยแล้ว แต่ผลที่ได้มันช่างน่ากลัวเสียจริง ๆ
ไม่กี่วันนี้มีการส่งข่าวสารผ่าน ทวีตเตอร์ เฟสบุ้ค และ กูเกิ้ลพลัส ข่าวเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน และนายกรัฐมนตรีทั้งในทางดีทางไม่ดี และส่งเสียงแรงเชียร์ตามการสนับสนุนหรือเกลียดชังของตนเอง และมีการส่งต่อแชร์ไปเรื่อย ๆ จนไม่มีการกลั่นกรองในที่สุดก็เป็นการนำเอาภาพเก่า ๆ มาลงใหม่ นี่แหละอานุภาพของการหลั่งไหลของข่าวสาร จริง ๆ แล้วมันร้ายกาจยิ่งกว่าน้ำท่วมเสียอีก (Water flood VS Information flood)
ดังนั้นก่อนที่จะสื่อสาร ส่งสารอะไรใช้สติปัญญาคิดสักนิด อย่าให้ปัญญากลายเป็นปัญหา แล้วจะลำบาก และการรับสารก็ควรใช้สมองคิดไตร่ตรองให้ดี บางคนแค่รับข่าวสารมาปุ๊บกดปุ่มโทรศัพท์ปั๊บเพื่อแสดงออกหรือส่งต่อ
ลองคิดถึงคำพูดของคนโบราณที่กล่าวว่า ก่อนพูดเราเป็นนายมัน หลังพูดมันเป็นนายเรา...
เหมือนกับครับ ก่อนเม้นท์เราเป็นนายมัน หลังเม้นท์มันเป็นนายเรา... หลายคนตายตอนจบเพราะการแสดงความคิดเห็นหรือการสื่อสารอย่างฉับพลันนี่แหละ... หรือว่าไม่จริง...
และเมื่อพิจารณาแล้วก็เห็นสมควรเพราะหากปล่อยไว้จะกลายเป็นยอมรับเหมือนกับที่เราเสียเขาพระวิหารไปเมื่อ 50 ปีก่อน เพราะการพิจารณาในครั้งถือว่า ไทย ยอมรับอาณาเขตของฝรั่งเศสที่มีอำนาจเหนือเขาพระวิหารเพราะฝรั่งเศสชักธงขึ้น แล้วมีพระรูป (รูปถ่าย) ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงประทับบนเขาพระวิหารด้วย
การไม่ทักท้วงถือว่ายอมรับความจริง เป็นกฎเกณฑ์ไปเสียแล้วในสำหรับสังคมปัจจุบัน จริง ๆ แล้วก็แลดูเหมือนเห็นแก่ตัวอย่างมาก และจะขัดกับกฎเกณฑ์ของสังคมไทยในอดีตด้วยซ้ำไป
ดังนั้นจึงมาเขียน สื่อสารกันบนสังคมออนไลน์กันอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าบางกลุ่มบนสังคมออนไลน์ก็ไม่ได้แตกต่างจากสังคมเสื่อมโทรมและถือว่าเป็นสลัมออนไลน์เหมือนเดิมครับ แต่สำหรับกลุ่มดี ๆ ก็ยังมีอยู่ไม่ขาดหาย ไม่ว่าสังคมจริง สังคมออนไลน์ก็ไม่ต่างกันแล้วแต่ว่าเราจะเลือกอยู่ในกลุ่มไหน แต่ไม่น่าเชื่อว่า... หลายคนเลือกกลุ่มที่ไม่ค่อยประเทืองปัญญามีแต่สังคมก่นด่า และส่งข้อมูลโดยไม่กลั่นกรอง ใช้ความเป็นสื่อออนไลน์โจมตีให้ร้ายป้ายสีผู้อื่น และทำอะไรตามใจชอบโดยไม่สนใจผลกระทบ
ปัจจุบันปัญหาผลกระทบจากสื่อชนิดนี้คือ ความไม่น่าเชื่อถือของสารที่ได้รับ เพราะมันเป็นข้อเท็จจริง เป็นข้อมูลดิบ (Raw data) มันยังไม่เป็นสาระสนเทศ (Information)
การบริโภคข่าวสารที่ไม่ได้รับการกลั่นกรองกลับทำให้เกิดความเสียหาย ความล่าช้า และความสนุกสนานของกลุ่มคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ เป็นต้นว่า การแตกตื่น โกลาหล การโจมตี กล่าวหามุ่งร้ายผู้อื่น การปล่อยข่าวโคมลอย เป็นต้น
โดนเฉพาะปัจจุบันยุคออนไลน์การส่งข้อมูลทำได้ง่ายแค่มือถือราคาหนึ่งพันบาทก็สามารถเข้าสู่โลกออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย และการส่งข้อมูลออกง่ายแสนง่ายกดปุ่มไม่กีปุ่มก็เรียบร้อยแล้ว แต่ผลที่ได้มันช่างน่ากลัวเสียจริง ๆ
ไม่กี่วันนี้มีการส่งข่าวสารผ่าน ทวีตเตอร์ เฟสบุ้ค และ กูเกิ้ลพลัส ข่าวเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน และนายกรัฐมนตรีทั้งในทางดีทางไม่ดี และส่งเสียงแรงเชียร์ตามการสนับสนุนหรือเกลียดชังของตนเอง และมีการส่งต่อแชร์ไปเรื่อย ๆ จนไม่มีการกลั่นกรองในที่สุดก็เป็นการนำเอาภาพเก่า ๆ มาลงใหม่ นี่แหละอานุภาพของการหลั่งไหลของข่าวสาร จริง ๆ แล้วมันร้ายกาจยิ่งกว่าน้ำท่วมเสียอีก (Water flood VS Information flood)
ลองดูวิธีการตรวจสอบในเว็บนี้ครับ
ดังนั้นก่อนที่จะสื่อสาร ส่งสารอะไรใช้สติปัญญาคิดสักนิด อย่าให้ปัญญากลายเป็นปัญหา แล้วจะลำบาก และการรับสารก็ควรใช้สมองคิดไตร่ตรองให้ดี บางคนแค่รับข่าวสารมาปุ๊บกดปุ่มโทรศัพท์ปั๊บเพื่อแสดงออกหรือส่งต่อ
ลองคิดถึงคำพูดของคนโบราณที่กล่าวว่า ก่อนพูดเราเป็นนายมัน หลังพูดมันเป็นนายเรา...
เหมือนกับครับ ก่อนเม้นท์เราเป็นนายมัน หลังเม้นท์มันเป็นนายเรา... หลายคนตายตอนจบเพราะการแสดงความคิดเห็นหรือการสื่อสารอย่างฉับพลันนี่แหละ... หรือว่าไม่จริง...
วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554
วิธีการศึกษาธรรมะเพื่อเกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม
จริง ๆ ก็ต้องออกตัวก่อนว่าไม่ได้เป็นคนที่ธรรมะ ธรรมโม แบบดีเด่นเลิศเลออะไร (เดี๋ยวจะมีคนหมั่นไส้ ช่วงนี้มีเยอะเสียด้วย) และไม่ได้เป็นการสอนคนอื่นแต่เป็นการแชร์ประสบการณ์ตนเองที่ผ่านประสบพบร้อนหนาวมาหลายปี
เริ่มจากเมื่อก่อนได้อยู่ในแวดวงกาสาวพัตรกับเขาเหมือนกันตั้ง 5 ปี ศึกษาธรรมะตั้งแต่นักธรรมชั้นตรี โทและเอก ถือว่าเป็นผู้รู้ตามหนังสือคนหนึ่ง ใครถามตอบได้ วิชาที่ชอบคือกระทู้ธรรม แต่ผู้อ่านเชื่อไหมว่า
เวลาผ่านไปกว่า 20 ปี ความคิดเช่นนั้นยังฝังรากลึกจนถลำหนัก หนังสือธรรมะเต็มบ้าน แต่ก็เพียงเพื่อรู้และพูดคุยแสดงความคิดเห็น ทำนองข้ารู้ ข้าเก่ง
ในที่สุดเมื่อสองปีที่ผ่านนี้ได้เข้าร่วมชมรมธรรมะ (ชมรมภูวธรรม) เริ่มต้นเขียนเว็บธรรมะ และต้องศึกษาหาข้อมูลมาใช้ในการเขียนบทความต่าง ๆ บังเอิญได้กลับไปอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเข้าคือ พุทธธรรม ของพระเดชพระคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เข้า
ตาสว่างทันที... "เราหลงโง่อยู่ตั้งนาน..."
ที่แท้เราเรียนรู้ธรรมะมาผิดวิธีตั้งแต่ต้น เราเรียนรู้จากภายนอก จากการประยุกต์ใช้ของคนอื่นมาทั้งหมด เรื่องไหนที่ยากไม่ว่าอิทัปปัจจยตา ไตรลักษณ์ อภิธรรมก็ไม่เว้นศึกษาหมด แต่ประโยชน์ที่ได้กลับน้อยนิด มันเลือนรางจนไม่รู้ทิศทางที่ชัดเจน
การเริ่มต้นของหนังสือพุทธธรรมคือ เริ่มศึกษาจาก อายตนะภายใน ภายนอก 6 อย่าง โดยเริ่มจริง ๆ เป็นการศึกษาตัวเราเอง โดยเข้าใจเรื่อง โลภะ โทสะ โมหะ นั่นเอง
สิ่งทั้งสามอย่างเรียกว่า อาสวะกิเลส อันเป็นกิเลสที่นอนเนื่องในสันดาน กล่าวคือตั้งแต่เกิดมาเรามีสิ่งนี้ตามมาด้วย มีโลภะ ความอยากได้ใคร่มีใคร่เป็นอยู่เสมอ มีความโทสะคือไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็น มีโมหะความลุ่มหลงมัวเมาในอวิชชา คือไม่รู้ผิด ชอบ ชั่วดี...
ทั้งหมดนี้มันฝั่งในจิตใจแต่แรกแล้ว เพียงแต่มันจะแสดงตามแรงกระตุ้นวันไหน ยามใดไม่ทราบ
ทีนี้บ่อเกิดแห่งอาสวะกิเลสเล่าครับ ก็มาจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ที่สัมผัสหรือรับรู้กับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ เมื่ออายตนะภายในกับภายนอกมาประทะกันจะเป็นแรงกระตุ้นกิเลสที่นอนนิ่งอยู่นั้นได้แสดงออกมา...
แค่นี้จริง ๆ สำหรับบ่อเกิดแห่งความทุกข์ หากเราสามารถละทิ้งการตอบสนองต่อแรงกระตุ้นเหล่านี้ได้ทีละน้อยจนหมดทั้งสิ้นก็สามารถสร้างความสุขได้...
เห็นหรือยังครับว่า การศึกษาธรรมขั้นต้น ต้องเริ่มที่การศึกษาตัวเรานี่เอง ไม่ต้องไปดูคนอื่นว่าจะเป็นอย่างไร ดูตัวเองดีกว่าครับ เพราะดูแต่คนอื่นมักจะลืมตัวว่าตนเองดีแล้วคนอื่นแย่ หรือถ้าคนอื่นดีกว่าก็จะรู้สึกต่ำต้อย น้อยเนื้อต่ำใจ การเป็นอิจฉาตาร้อนไปเสียอีก
เมื่อรู้จักและเรียนรู้กับกิเลสได้แล้วขั้นต่อไปจะมาเอง... ผู้ที่ประสบผลสำเร็จด้านการปฏิบัติธรรมเขาก็เริ่มจากตรงนี้กันทั้งนั้น...
(บางส่วนของการคุยเรื่อง การพัฒนาตนเองเพื่อมุ่งเน้นคุณภาพและมาตรฐาน สำหรับพนักงานคอลเซ็นเตอร์)
เริ่มจากเมื่อก่อนได้อยู่ในแวดวงกาสาวพัตรกับเขาเหมือนกันตั้ง 5 ปี ศึกษาธรรมะตั้งแต่นักธรรมชั้นตรี โทและเอก ถือว่าเป็นผู้รู้ตามหนังสือคนหนึ่ง ใครถามตอบได้ วิชาที่ชอบคือกระทู้ธรรม แต่ผู้อ่านเชื่อไหมว่า
การศึกษาธรรมะในครั้งนั้น เรียนรู้เพื่อเอาชนะคนอื่น หากใครพูดผิดจะรีบคัดค้าน และสาธกยกเรื่องราวต่าง ๆ มาอ้างอิงเป็นตุเป็นตะและจะลำพองตนว่าเป็นผู้รู้...
เวลาผ่านไปกว่า 20 ปี ความคิดเช่นนั้นยังฝังรากลึกจนถลำหนัก หนังสือธรรมะเต็มบ้าน แต่ก็เพียงเพื่อรู้และพูดคุยแสดงความคิดเห็น ทำนองข้ารู้ ข้าเก่ง
ในที่สุดเมื่อสองปีที่ผ่านนี้ได้เข้าร่วมชมรมธรรมะ (ชมรมภูวธรรม) เริ่มต้นเขียนเว็บธรรมะ และต้องศึกษาหาข้อมูลมาใช้ในการเขียนบทความต่าง ๆ บังเอิญได้กลับไปอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเข้าคือ พุทธธรรม ของพระเดชพระคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เข้า
ตาสว่างทันที... "เราหลงโง่อยู่ตั้งนาน..."
ที่แท้เราเรียนรู้ธรรมะมาผิดวิธีตั้งแต่ต้น เราเรียนรู้จากภายนอก จากการประยุกต์ใช้ของคนอื่นมาทั้งหมด เรื่องไหนที่ยากไม่ว่าอิทัปปัจจยตา ไตรลักษณ์ อภิธรรมก็ไม่เว้นศึกษาหมด แต่ประโยชน์ที่ได้กลับน้อยนิด มันเลือนรางจนไม่รู้ทิศทางที่ชัดเจน
การเริ่มต้นของหนังสือพุทธธรรมคือ เริ่มศึกษาจาก อายตนะภายใน ภายนอก 6 อย่าง โดยเริ่มจริง ๆ เป็นการศึกษาตัวเราเอง โดยเข้าใจเรื่อง โลภะ โทสะ โมหะ นั่นเอง
สิ่งทั้งสามอย่างเรียกว่า อาสวะกิเลส อันเป็นกิเลสที่นอนเนื่องในสันดาน กล่าวคือตั้งแต่เกิดมาเรามีสิ่งนี้ตามมาด้วย มีโลภะ ความอยากได้ใคร่มีใคร่เป็นอยู่เสมอ มีความโทสะคือไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็น มีโมหะความลุ่มหลงมัวเมาในอวิชชา คือไม่รู้ผิด ชอบ ชั่วดี...
ทั้งหมดนี้มันฝั่งในจิตใจแต่แรกแล้ว เพียงแต่มันจะแสดงตามแรงกระตุ้นวันไหน ยามใดไม่ทราบ
ดังนั้นหากใครที่สามารถสะกดไม่ให้อาสวะกิเลส (อ+สวะ+กิเลส, ไม่+ลอย+เครื่องเศร้าหมอง, กิเลสที่นอนเนื่องในกมลสันดาน) ก็ทำให้เป็นสุขได้... เพียงแค่นี้เองครับ
ทีนี้บ่อเกิดแห่งอาสวะกิเลสเล่าครับ ก็มาจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ที่สัมผัสหรือรับรู้กับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ เมื่ออายตนะภายในกับภายนอกมาประทะกันจะเป็นแรงกระตุ้นกิเลสที่นอนนิ่งอยู่นั้นได้แสดงออกมา...
แค่นี้จริง ๆ สำหรับบ่อเกิดแห่งความทุกข์ หากเราสามารถละทิ้งการตอบสนองต่อแรงกระตุ้นเหล่านี้ได้ทีละน้อยจนหมดทั้งสิ้นก็สามารถสร้างความสุขได้...
เห็นหรือยังครับว่า การศึกษาธรรมขั้นต้น ต้องเริ่มที่การศึกษาตัวเรานี่เอง ไม่ต้องไปดูคนอื่นว่าจะเป็นอย่างไร ดูตัวเองดีกว่าครับ เพราะดูแต่คนอื่นมักจะลืมตัวว่าตนเองดีแล้วคนอื่นแย่ หรือถ้าคนอื่นดีกว่าก็จะรู้สึกต่ำต้อย น้อยเนื้อต่ำใจ การเป็นอิจฉาตาร้อนไปเสียอีก
เมื่อรู้จักและเรียนรู้กับกิเลสได้แล้วขั้นต่อไปจะมาเอง... ผู้ที่ประสบผลสำเร็จด้านการปฏิบัติธรรมเขาก็เริ่มจากตรงนี้กันทั้งนั้น...
(บางส่วนของการคุยเรื่อง การพัฒนาตนเองเพื่อมุ่งเน้นคุณภาพและมาตรฐาน สำหรับพนักงานคอลเซ็นเตอร์)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)